08.03.201801:58:00UTC+00การขาดดุลทางการค้าของสหรัฐอเมริกาในระดับสูงของรอบเก้าปี

การขาดดุลทางการค้าของสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นมาในระดับสูงในรอบเก้าปี ในเดือนมกราคม พร้อมกับการปรับตัวลงของการขยายตัวในประเทศจีนอย่างมาก ซึ่งแสดงให้เห็นถึง นโยบายทางการค้าของประธานาธิบดี Donald Trump's “อเมริกามาก่อน" ได้มุ่งหมายที่จะกำจัดการขาดดุล ซึ่งดูแล้วอาจจะพลาดไป

ส่วนต่างทางการค้า ยังคงเพิ่มขึ้นในรอบปีในช่วงการดำรงตำแหน่งของ Trump โดยนาย Trump ผู้ที่เคยระบุว่าสหรัฐอเมริกานั้น ถูกเอาเปรียบมาจากคู่ค้าอย่างมาก ได้ออกมานำเสนอภาษีจากการนำเข้าของสินค้าบางชนิด และยังเป็นการท้าทายมาตรการของผู้อื่นเพื่อป้องกันอุตสาหกรรมในประเทศ จากการแข่งขัน โดยมาตรการการกีดกันทางการค้ายิ่งได้เพิ่มความกังวลต่อการเกิดสงครามทางการค้า

อ้างอิงจากกระทรวงพาณิชย์ ได้ระบุไว้ว่า การขาดดุลในการค้าเพิ่มขึ้นมาร้อยละ 5.0 ใน 56.6พันล้านเหรียญ ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2008 และยังมากกว่าการคาดการณ์ของนักลงทุนที่ประเมินไว้ว่าน่าจะ ปรับตัวขึ้นมาใน 55.1 พันล้านเหรียญ บางส่วนของการเพิ่มขึ้นในส่วนต่างทางการค้า ของเดือนมกราคมได้อยู่ในราคาสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้นนั้นเอง

การาดดุลทางการค้าในส่วนของสินค้า จากด้านการเมืองพบว่า ประเทศจีนได้เพิ่มขึ้นมาถึงร้อยละ 16.7 ใน 36.0พันล้านเหรียญ ซึ่งเป็นระดับที่มากที่สุดตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2015 สำหรับการขาดดุลในประเทศแคนาดาเองก็เพิ่มขึ้นมาถึงร้อยละ 65 ในระดับสูงรอบสามปีที่ 3.6พันล้านเหรียญ โดยที่ประเทศแคนาดา และสหรัฐอเมริกาเองก็เห็นห้นส่วนทางการค้าระดับต้นๆกันอีกด้วย

เศรษฐกิจใกล้เข้าสู่การจ้างงานแบบเต็มพิกัด มีการเพิ่มขึ้นมาของอุปสงค์จากการดำเนินการด้านภาษีถึง 1.5ล้านล้านเหรียญ ที่อาจจะมีความเหมาะสมกับการนำเข้า และอาจกระทบต่อการขาดดุลทางการค้า

ปัจจัยพื้นฐานของความแข็งแกร่งในเศรษฐกิจได้รับการเน้นย้ำเพิ่มเข้ามาจาก รายงานของสถาบันวิจัย ADP Research ที่แสดงให้เห็นถึง ลูกจ้างในภาคเอกชนได้เพิ่มขึ้นมา 235,000 คนในเดือนกุมภาพันธ์

ในรายงาน ซึ่งได้รับการพัฒนามาพร้อมกับนักวิเคราะห์Moody ได้นนำเสนอออกมาก่อนหน้ารายงานของรัฐบาล เกี่ยวกับข้อมูลการจ้างงานในวันศุกร์

อัตราการว่างงานคาดว่าอาจจะลดลงมาจาก 1 ใน 10 ที่เป็นร้อยละ 4.0 ซึ่งอาจจะเป็นระดบัที่ต่ำที่สุดตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2000

เศรษฐกิจได้มีการขยายตัวขึ้นมาในร้อยละ 2.5 ในอัตรารายปีของไตรมาสที่สี่ โดยการเติบโตที่ได้คาดการณ์ไว้ในไตรมาสแรกจะอยู่ในราวๆร้อยละ 2.0