ในทิ้งตัวลงในระดับโลก เริ่มสร้างสัญญาณของความวิตกขึ้นมา สำหรับดัชนี SP500 ที่เป็นกลุ่มของบริษัทขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ได้ปรับตัวลดลงไปถึง 3.09% เมื่อวันพุธที่ผ่านมา จึงทำให้ลดผลกำไร จากมูลค่าทั้งปีไป และสำหรับดัชนี Nasdaq ด้านเทคโนโลยี ก็ยังลดลงไปมากเท่ากับ 4.4% ส่วนผู้ชนะก็คือ เงินดอลลาร์สหรัฐ และพันธบัตรอเมริกันที่แข็งค่าขึ้นมา นอกจากนั้น สินทรัพย์ทั้งสองอย่างยังถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยสำหรับนักลงทุนหลายคน

การขายครั้งนี้มาจากไหนกัน? ตำแหน่งทั้งสามที่ปรากฎขึ้นมาก็คือ ตลาดที่อยู่อาศัยในสหรัฐอเมริกา แย่ลงไปอย่างมาก และจึงส่งผลให้บริษัทหลายแห่งประสบกับผลที่ไม่ค่อยดีไปตามๆกัน (ใกล้ถึงช่วงฤดูกาลของการนำเสนอผลประกอบการของสหรัฐอเมริกาแล้ว) ที่ได้ รายงานปัญหาเกี่ยวกับผลกำไรในอนาคต อันเนื่องมาจากสงครามการค้า และการเติบโตของยอดจีดีพีของทั่วโลก ทางด้านนักลงทุนอาจก็ได้รับผลกระทบมาจากทางด้าน CNN, Obama และ Clinton house

มันจะกลายเป็นตลาดในแนวโน้มขาลงอีกนานหรือไม่? ยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัดในส่วนนี้ แม้ว่านักวิเคราะห์ได้ชี้ให้ทราบว่า ตลาดในแนวโน้มขาขึ้นของสหรัฐอเมริกา ได้พยายามอยู่ในระดับที่ดีที่สุด และแทนที่จะให้ ผลตอบแทนของบริษัทที่ดีขึ้น แต่นักลงทุนหลายคนเลือกที่จะขายหุ้นเหล่านี้ออกไป เพียงเพราะความกลัวที่ ผลประกอบการในอนาคตอาจจะแย่ลงไปมากกว่าเดิม โดยพวกเขามองว่า "มันเป็นสัญญาณที่แสดงว่า ตลาดในแนวโน้มขาขึ้นกำลังจะสิ้นสุดลง "

มีหลายคนได้ออกมากล่าวว่า นโยบายของเฟด ที่ทำการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอย่างจ่อเนื่อง และมักจะเป็นศัตรูของนักลงทุนในตลาดหุ้น ในวันพุธนี้ ประธานาธิบดีDonald Trump ได้กล่าวในการให้สัมภาษณ์ว่า "ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกานั้นเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุด ต่อเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา" นี้เป็นคำวิจารณ์จากมหาเศรษฐีคนหนึ่ง ต่อคุณ Jerome Powell หัวหน้าของทางเฟด

ลองดูภาพรวมทางเทคนิคของดัชนี SP500 ที่ขอบเขตระยะเวลาแบบ H4 จะพบว่า หลังจากที่ไม่สามารถปรับตัวไปเหนือกว่าระดับที่ 274.40 ได้นั้น ตลาดก็ย้อนตัวกลับ และก็มีการเคลื่อนตัวทะลุผ่านแนวรับไปตามเส้นทางของ 264.12 ดังนั้นในตอนนี้ ระดับ 267.69, 268.38 และ 270.32 จะทำหน้าที่เป็นแนวต้านสำหรับราคา สำหรับแนวรับทางเทคนิคที่ ใกล้ที่สุด จะอยู่ที่ระดับ 264.12 แต่ ถ้าหากได้มีการเคลื่อนตัวทะลุผ่านไปละก็ ลำดับถัดไปก็จะสามารถพบเห็นได้ในระดับที่ 260.48 ในทางตรงกันข้าม มีbullish divergence ที่เห็นได้อย่างชัดเจน ระหว่างราคากับตัวชี้วัดความแกว่งโมเมนตัม ดังนั้นการยกตัวในระยะสั้นจึงอาจจะเกิดขึ้นตามมา